วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เพราะอวดเก่ง... จึงเมาค้าง


 

เช้าวันหนึ่ง  ฉันพยายามลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก  แต่ยังคงนอนพลิกตัวขวาทีซ้ายที  จากนั้น ก็ยกมือสองข้างขึ้นมากุมหัว เพราะโดนอาการปวด มึน และหนักหัวเข้าเล่นงาน ในใจพลางคิดไปว่า เมื่อคืนไม่น่าดื่มหลายแก้ว หลายหลากประเภทขนาดนั้นเลย  ทั้งเบียร์ ทั้งสุรา มั่วไปหมด

นึกแล้วก็สมน้ำหน้าตัวเองที่อวดเก่ง  ทิฐิที่หนึ่ง ยอมให้ใครมาหยาม หรือทำให้เสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด  พอโดนท้าเท่านั้น  สุราเมรัยในแก้วทั้งหลายที่วางอยู่ตรงหน้า จึงถูกกระดกเข้าคออย่างไม่ขาดสาย
           
         เช้านี้ก็คงถึงเวลารับผลของการอวดดีอวดเก่งนั้นแล้ว หลังลืมตาขึ้นมาสักพัก  ก็พาตัวเองลุกจากเตียงนอนเพื่อไปล้างหน้าล้างตา และทำความสะอาดเนื้อตัว หวังไว้ว่า ความเย็นของน้ำคงจะชะล้างทั้งคราบสกปรก ความมึน และความพร่าเลือนในดวงตาออกไปได้



แต่พอเดินเข้าไปอยู่ภายในห้องน้ำ ยังไม่ทันได้หมุนเปิดก๊อกฝักบัว รู้สึกได้ว่าบริเวณหน้าท้องแข็งเกร็ง ทันใดนั้นก็อาเจียนออกมา โชคดีที่เพียงก้าวเดียวก็ถึงชักโครก พื้นห้องน้ำจึงคงความสะอาดเฉกเช่นเดิม

นั่งที่พื้น ใช้มือท้าวชักโครกอยู่นานสองนาน จนรู้สึกโล่งในลำคอ และหัวที่เคยรู้สึกหนักๆ เมื่อตอนตื่นทุเลาลง จึงได้เวลาล้างเนื้อล้างตัวเสียที

ทันทีที่สายน้ำจากฝักบัวปะทะกับผิวหน้า และไหลลงมาตามร่างกาย ความรู้สึกสบาย สดชื่นก็ตามมา  ทำไมเกิดความรู้สึกอยากยืนแช่น้ำนานกว่าทุกวันก็ไม่รู้  คงเป็นเพราะความเย็นของน้ำช่วยขับไล่ความรู้สึกไม่สบายตัวออกไปได้ แต่ก็แค่บางส่วนเท่านั้น

กว่าจะพาตัวเองออกจากห้องน้ำ แต่งตัวเสร็จสรรพ และเดินไปหาอะไรทานในห้องครัว  ก็ใช้เวลาปาไปเกือบชั่วโมง แต่โชคดีที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เลยมีเวลาที่จะใช้ชีวิตแบบช้าๆ ไม่ต้องเร่งทาน เร่งเดิน ตามวิถีคนกรุงฯ แบบวันธรรมดา

หลังจากทานอาหารเช้าซึ่งล่วงเลยเวลาไปพอสมควรเรียบร้อย  ก็ต้องพบกับความรู้สึกเดิมอีกครั้ง คือ เกร็งที่ช่วงหน้าท้อง รู้สึกได้ว่าต้องพาตัวเองวิ่งไปนั่งกอดชักโครกเช่นเดิม แล้วก็อีกนั่นแหละ “อาเจียน”

วันทั้งวันเป็นอยู่เช่นนั้น นอนหลับ - ลืมตาตื่น ทานอาหาร- อาเจียน กว่าจะหายดี สบายตัว สบายหัวจริงๆ ก็เวลาเย็น หลังจากวนเวียนเป็นแบบนั้นอยู่สอง-สามรอบ

บทเรียนครั้งสำคัญจากการ "ดื่มมั่ว" และ "ดื่มมาก"  ไม่ต้องบังอาจไปโทษเพื่อนที่ท้าทาย  นี่คือผลจากความอวดดี อวดเก่ง ไม่รู้และไม่ประมาณตัวเอง    

     


ขอขอบคุณรูปภาพจาก


วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

“CHERUBIN” (เชรูแบง) คาเฟ่ที่คนรักช็อกโกแลตไม่ควรพลาด!



เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดยาว  ตัวดิฉันจึงขอติดรถพี่ชายที่จะไปทำธุระแถวห้างดิเอ็มโพเรียม  เพื่อถือโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตา  กะว่าจะไปเดินหาร้านกาแฟน่ารักๆ  นั่งผ่อนคลายสักหน่อย หลังจากต้องเครียดกับการเรียนมาหลายอาทิตย์ ซึ่งอารมณ์ตอนนั้น ยังไม่มี  
เป้าหมายว่าจะไปที่ร้านไหน คิดไว้ว่าจะเดินหาไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะเจอร้านที่ถูกใจ 

          เดินไปได้สักพัก  ก็สะดุดตากับร้านที่ชื่อว่า  CHERUBIN CHOCOLATE CAFÉ”        (เชรูแบง ช็อกโกแลต คาเฟ่)  โดยภายนอกร้านนั้นถูกปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด  ให้ความรู้สึกสดชื่น และร่มรื่น  เป็นที่ถูกอกถูกใจคนรักช็อกโกแลตอย่างดิฉันเป็นอย่างมาก  จึงไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหาที่นั่งด้านใน  




ทางเดินเข้าร้านภายใต้ซุ้มไม้เลื้อย

 เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านในยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ค่ะ เพราะบรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยบรรดาตุ๊กตาหมี (ซึ่งทางร้านขายบางตัวด้วยค่ะ)  รูปภาพติดผนัง  ชั้นวางหนังสือ และแจกัน ให้เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ  เรียกว่า  แตกต่างอย่างลงตัวจริงๆ

เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเห็นบรรดาตุ๊กตาหมีจำนวนมาก


หมีปืนต้นไม้ก็มีค่ะ


ถูกใจตัวไหนเป็นพิเศษ สามารถซื้อกลับบ้านได้ค่ะ

            จากนั้น ได้เวลาสั่งเมนู ซึ่งดิฉันเลือกเครื่องดื่มเป็นกาแฟเบาๆ อย่างคาราเมล ลาเต้  แต่ที่ยาก ก็คือ การเลือกเค้กนี่ล่ะค่ะ เนื่องจากทุกชิ้นเป็นเค้กที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตทั้งนั้น ยอมรับว่าเลือกไม่ถูก เพราะน่าทานหมดทุกชิ้น 


            แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสั่งช็อกโกแลต ฟัดจ์ มาหนึ่งชิ้น เพราะคิดว่า ไหนๆ ก็มาถึงคาเฟ่ช็อกโกแลตแล้ว ลองเค้กที่เป็นช็อกโกแลตล้วนๆ  เลยก็แล้วกัน  สั่งเสร็จก็เดินไปนั่งโต๊ะริมกระจก เพราะชอบมองความเคลื่อนไหว ในขณะที่ตัวเองอยู่เฉยๆ นิ่งๆ ค่ะ

บรรยากาศภายในร้าน (มีห้องน้ำด้วยค่ะ อยู่ใต้บันไดด้านขวามือ)

ไม่นาน เมนูที่เลือกไว้ก็มาเสิร์ฟ



คาราเมล ลาเต้ (125 บาท)

หลังจากลองชิมแล้ว ต้องบอกว่าคุ้มค่ากับการเสียเวลาเดินหาร้านค่ะ  เพราะรสชาติของ  คาราเมล ลาเต้ นั้นเข้ากันมาก พอดูดเข้าไปแรกๆ จะเป็นรสของกาแฟที่ผสมความหวานจาก     
คาราเมล ตามด้วยนมที่อยู่ชั้นล่างสุด  เมื่อดื่มเข้าไปแล้วทุกอย่างรวมกันจะให้ความรู้สึกนุ่มลิ้น  เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบกาแฟขมๆ

ช็อกโกแลต ฟัดจ์ ที่รอคอย (120 บาท)

สำหรับเค้กช็อกโกแลต ฟัดจ์ นี่แตกต่างจากที่อื่นจริงๆ ค่ะ เพราะส่วนมากที่เคยได้ลองทานมาจะหวานเลี่ยน เพราะทุกชั้นเป็นช็อกโกแลตหมด แต่ของที่นี่จะไม่หวานขนาดนั้น  ช็อกโกแลตด้านบนที่มีเนื้อเหนียวทำให้ไม่เลี่ยน และหวานกำลังดี บวกกับเนื้อนุ่มของแป้งเค้ก ทานพร้อมเมล็ดอัลมอนด์กรอบที่โรยอยู่ด้านบน อร่อย เข้ากันได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ  
หากจะให้เป็นคะแนนก็ 9 เต็ม 10 ค่ะ เพราะทั้งบรรยากาศและรสชาตินั้นอร่อยได้ใจ  แต่หักไป 1 คะแนน เพราะราคาแพงไปนิด

มีบ่อปลาติดกระจกให้ได้นั่งมองเพลินๆ

สำหรับใครที่ผ่านไปแถวนั้น ก็ลองแวะไปพิสูจน์ หรือเลือกชิมเมนูอื่นๆ ได้ค่ะ ว่าบรรยากาศจะโดนใจ และรสชาติจะอร่อยอย่างที่บอกจริงหรือเปล่า

ข้อมูลร้าน
ซอยสุขุมวิท 31  ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110                   
เบอร์โทรศัพท์ 02-261-1196, 02-261-1197, 02-260-9800                                           
เว็บไซต์  https://www.facebook.com/pages/CHERUBIN/179304984351?fref=ts          
วันและเวลาเปิดทำการ : อังคาร อาทิตย์  เวลา 10.30 – 19.00 น.

การเดินทาง       
รถส่วนตัว :   จากถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 31  ตรงไปประมาณ  150  เมตร ร้านจะอยู่ด้านซ้ายมือ สามารถจอดรถได้บริเวณด้านหน้าร้าน
จากรถไฟฟ้า BTS :   ลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินย้อนมาประมาณ 100 เมตร เข้าซอยสุขุมวิท 31 เดินตรงเข้าไปประมาณ 150 เมตร ร้านอยู่ด้านซ้ายมือ




ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/pages/CHERUBIN/179304984351?fref=ts 
ขอบคุณรูปภาพประกอบ http://dunbine.exteen.com/20130925/cherubin                                         
                               http://www.gorkorcor.com/wp-content/uploads/2009/02/untitled-1.jpg






วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

“ถังปั่นวุ้น” ไอเดียเรียกลูกค้าร้านขายน้ำ



          น้ำอ้อยสดและน้ำสมุนไพร  ถือเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่ผู้คนนิยมหาซื้อดื่มกัน  ไม่แพ้เครื่องดื่มชนิดอื่นเลยก็ว่าได้  เพราะไม่ว่าเราจะไปเดินตลาดที่ไหน  ก็สามารถพบเห็นร้านขาย
น้ำอ้อยสดได้เกือบทุกที่  ตลาดบางแห่งมีร้านขายน้ำอ้อยสด  และน้ำสมุนไพรมากกว่าหนึ่งร้าน
ด้วยซ้ำไป  ขายกันชนิดที่ว่าหากเราเดินเลยร้านแรกไป  ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ซื้อ  เพราะ
เดินๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ

เช่นเดียวกับตลาดที่อยู่ภายในหมู่บ้านพฤกษา 13 คลองสาม  ปทุมธานี  ซึ่งมีร้านขาย
น้ำอ้อยสดและน้ำเพื่อสุขภาพ ให้บรรดาคนทั้งในและนอกหมู่บ้านได้ซื้อดื่มเพื่อดับกระหายคลายร้อน  แต่ความแตกต่างและโดดเด่นของร้านนี้ ก็คือ  มีถังไม้ขนาดอ้วนเตะตาแปะป้ายว่า “น้ำอ้อยปั่นวุ้น” ตั้งอยู่ข้างๆ  โต๊ะขายน้ำด้วย  เราจึงได้สอบถาม  “คุณวุฒิ” เจ้าของร้านวัย 40 ปี จนได้รับ
คำตอบว่า  มันคือถังที่ใช้สำหรับปั่นให้น้ำอ้อยกับน้ำแข็งรวมกันจนได้เป็นเนื้อวุ้น
“ถังนี่คือจุดขายของร้านผมเลย เอาไว้ปั่นน้ำกับน้ำแข็งให้เป็นวุ้น คล้ายๆ สเลอปี้ของ
เซเว่น  ไม่ใช่แค่น้ำอ้อยนะ น้ำส้ม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำสมุนไพร น้ำอะไรก็ใส่ได้หมดถ้าเราอยากให้มันเป็นวุ้น” คุณวุฒิอธิบายพร้อมเปิดให้ดูภายในถัง



ถังปั่นวุ้นขนาดเล็ก

เราถามต่อถึงที่มาที่ไปของไอเดียการใช้ถังปั่นวุ้นเป็นตัวเรียกลูกค้า  ซึ่งคุณวุฒิเล่าให้ฟังว่า  “เพราะผมอยากเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า อย่างบางทีลูกค้ามากันเป็นกลุ่ม 3 – 4 คน ตอนนั้นผมขายน้ำอ้อยธรรมดาอย่างเดียว เค้าซื้อคนเดียว ที่เหลือไม่ซื้อ ผมก็เลยลองลงทุนซื้อถังนี้มา  แล้วก็คิดชนิดน้ำเพิ่ม ก็ช่วยได้เยอะ ถูกใจลูกค้าโดยเฉพาะเด็กๆ เค้าจะชอบแบบวุ้นมาก”

เมื่อต้องใช้เงินลงทุนถึง 15,000 บาท  เพื่อซื้อถังปั่นวุ้นมาใช้  ข้อสงสัยที่ตามมาก็คือ  ร้านจะต้องขึ้นราคาค่าปั่นน้ำทั้งหลายให้เป็นวุ้นหรือไม่
        คุณวุฒิส่ายหัวปฏิเสธ แล้วพูดต่อว่า “บางที่บางร้าน เค้าอาจจะมีบวกค่าปั่นเพิ่มนะ แต่ของผมถือว่าเป็นการบริการลูกค้า เลยขายราคาเท่าเดิมไม่ขึ้น ลูกค้าซื้อขวด 10 บาท ก็เลือกได้ว่าจะเอาวุ้นไม่เอาวุ้น แล้วแต่เค้า”  
   
          ส่วนเรื่องระยะเวลาคืนทุนหรือกำไร  คุณวุฒิพูดเสริมว่า  “ถ้าขายจริงๆ เดือนเดียวก็ได้แล้ว มันขึ้นกับที่ที่เราขายด้วย อย่างถ้าเลือกที่ดีก็คืนทุนไว บางคนเลือกที่ไม่ดี ไม่ค่อยมีคนเดินก็หลายเดือนหน่อย งานขายของมันต้องใช้ความอดทน”

แน่นอนว่าการประกอบอาชีพทุกอาชีพย่อมมีอุปสรรคในการทำงาน  การเป็นพ่อค้าก็เช่นกัน  ซึ่งสำหรับคุณวุฒิแล้ว  ปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างที่พบเจอในการทำงาน จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยทันทีเมื่อเทียบกับความมุ่งมั่นและความมีใจรักในอาชีพ  
        “ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าถ้าเรามีใจรัก มีความมุมานะจริงๆ นะ เราจะไม่เบื่อ อย่างผมชอบพูดชอบคุยกับคนอื่น เวลาเห็นพ่อแม่เค้ามาซื้อน้ำให้ลูก พอเค้ากินแล้วมีความสุข เราเห็นก็สบายใจไปด้วย”  คุณวุฒิบอกถึงแนวคิดและหลักการในการทำอาชีพพ่อค้า



          นอกจากใช้ถังปั่นวุ้นเป็นอุปกรณ์ช่วยในการเรียกลูกค้าแล้ว  ตัวผู้ขายเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนกำหนดว่าร้านจะอยู่หรือจะเจ๊ง  จะขายดีหรือขายไม่ได้  หากผู้ขายมีเทคนิคการพูดและสื่อสารที่ดี  ย่อมทำให้ลูกค้าสบายใจจนอาจเป็นลูกค้าประจำ  หรือแม้แต่คนผ่านไปผ่านมาที่ไม่ตั้งใจมาซื้อ  เมื่อเจอการเรียกลูกค้าที่ประทับใจ  ก็อาจเปลี่ยนใจซื้อกลับไปหลายขวดเลยก็เป็นได้  อย่างที่คุณวุฒิพูดในตอนท้ายว่า

“การขายของก็เหมือนการเข้าสังคม ต้องอาศัยหลักจิตวิทยาเหมือนกัน  ต้องรู้จักพูดกับลูกค้า ให้เค้ารู้สึกเป็นกันเอง ลูกค้าบางคนเป็นเด็ก ก็ต้องรู้จักใช้เสียงและคุยเล่นกับเค้า หรือบางทีลูกค้าไม่ตั้งใจมาซื้อนะ พอเราทักทายพูดคุย เค้าก็มาซื้อ”





วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

น้ำใบย่านาง เครื่องดื่มคลายร้อนเพื่อสุขภาพ




               ย่านาง  เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่ง ที่คนไทยใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร รวมทั้งเป็นยารักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งแหล่งกำเนิดของต้นย่านางนั้นจะขึ้นอยู่ตามแถบป่าของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้นย่านางมีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ส่วนใบย่านางมีสีเขียวเข้มออกเงามัน และเป็นส่วนที่ได้รับความนิยมบริโภคมากที่สุด

                   ในปัจจุบันมีผู้คนนิยมนำใบย่านางมาทำเป็นเครื่องดื่มจำนวนมาก ทั้งเพื่อจำหน่ายและดื่มเพื่อสุขภาพ    เนื่องจากใบย่านางมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ประกอบด้วยสารอาหารและแร่ธาตุ 
อย่างเช่น สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide)  แคลเซียม (Calcium)  ธาตุเหล็ก (Iron)  ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น  นอกจากนี้ ยังพบว่ามีสารเคมีที่มีสรรพคุณเป็นยา หรือเป็นวิตามินบำรุงร่างกายอีกหลายตัว เช่น สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (Alkaloids)   แทนนิน (Tannin)   ลิกแนน (Lignan)   ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid)  โพลีฟีนอล (Polyphenol)  รวมทั้งยังมีสารเบต้าแคโรทีน 
(Beta carotene)  ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย    

ต้นย่านาง
ใบย่านาง


               เนื่องจากใบย่านางมีสรรพคุณหลากหลายอย่างที่ได้บอกไปแล้ว ผู้เขียนจึงอยากจะนำเสนอวิธีการทำน้ำใบย่านาง เพื่อเป็นแนวทางแก่คุณผู้อ่านที่กำลังมองหาเครื่องดื่มที่สามารถทำได้ง่ายๆ แต่มากไปด้วยประโยชน์ และเพื่อดับกระหายคลายร้อนในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้  รวมถึงยังเป็นการดื่มเพื่อเพิ่มคลอโรฟิลด์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล และบำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลที่ร่างกายร้อนเกินไปได้อีกด้วยล่ะค่ะ


ก่อนอื่นเลยเราจะต้องดูปริมาณความเข้มข้นให้เหมาะสมกับลักษณะผู้ดื่ม ดังนี้ค่ะ
เด็ก       >> ใช้ใบย่านาง 1 - 5 ใบ ต่อน้ำ 1 - 3 แก้ว ( 200 - 600 ซีซี )
ผู้ใหญ่ที่รูปร่าง ผอม บางเล็ก และร่างกายไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย     >> ใช้ใบย่านาง 5 - 7 ใบ ต่อน้ำ 1 - 3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่าง ผอม บางเล็ก และร่างกายแข็งแรง          >> ใช้ใบย่านาง 7 - 10 ใบ ต่อน้ำ 1 - 3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน         >> ใช้ใบย่านาง 10 - 20 ใบ ต่อน้ำ 1 - 3 แก้ว

วัตถุดิบและอุปกรณ์        ใบย่านาง,  ครกหรือเครื่องปั่นไฟฟ้า,  น้ำเปล่า,  กระชอนหรือผ้าขาวบาง

ขั้นตอนการทำ
1. นำใบย่านางมาล้างทำความสะอาด
2. จากนั้น นำไปตำหรือปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำลงไป
3. ใช้กระชอนหรือผ้าขาวบางกรองเนื้อออก และเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำเพื่อดื่ม

เทคนิคพิเศษ
  หากใช้วิธีการปั่นด้วยเครื่อง ความร้อนจากเครื่องปั่นอาจจะทำลายความเย็นของใบย่านาง ทำให้คุณค่าของสารอาหารที่เราควรจะได้ลดลง การปั่นใบย่านางให้คงคุณค่าสารอาหาร คือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางแหลกละเอียด แต่ควรกดปั่นแล้วนับ 1 - 5 อย่างรวดเร็วแล้วกดหยุด จากนั้น กดปั่นแบบเดิมไปเรื่อยๆ จนใบย่านางละเอียด ซึ่งเทคนิคการปั่นนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารยังคงรูปร่างเดิม



วิธีดื่ม               ควรดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว  วันละ 2 - 3 เวลาก่อนอาหาร หรือตอนท้องว่าง และหากแช่ในตู้เย็น
ควรดื่มให้หมดภายใน  3 - 7 วัน  โดยก่อนดื่มคุณจะต้องสังเกตดูว่ามีกลิ่นเปรี้ยวหรือเปล่า ถ้าเริ่มมีกลิ่นก็แสดงว่ามันอาจจะเสียจึงไม่ควรดื่มค่ะ

                    สำหรับผู้อ่านท่านใดที่คิดอยากจะทำน้ำใบย่านางดื่มเอง แต่กลัวว่าจะขม มีกลิ่นฉุน และดื่มยาก ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะคุณสามารถผสมน้ำที่มีกลิ่นหอมอย่างน้ำใบเตย หรือน้ำหวานเฮลซ์บลูบอยลงไปก่อนดื่มได้ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เครื่องดื่มที่ทั้งหอมหวาน รสชาติถูกปาก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ในคราวเดียวกันแล้วล่ะค่ะ



ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.summacheeva.org/index_article_triliacora.htm
                         http://www.morkeaw.net/k-yanang.html
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.noichiangmai.com/bai-ya-nang.html
                             http://www.oknation.net/blog/Chaoying/2011/07/04/entry-1
                             http://www.vcharkarn.com/varticle/39750
                             http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/41205

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

โรงงานยาสูบปรับขึ้นภาษีสุรา-ยาสูบ สมทบ "กองทุนพัฒนาการกีฬา แห่งชาติ"

         



          หลังจาก พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย  2558  ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้นำเงินจากการจัดเก็บภาษีสุราและยาสูบส่งเข้าสมทบ กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเพื่อใช้ในการสนับสนุนส่งเสริมกีฬาประเภทต่าง ๆ โดยให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรนำส่งเข้ากองทุนนั้น นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการอำนวยการ ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ กล่าวว่า 

           "ในวันนี้ (27 มี.ค.) โรงงานยาสูบได้ประกาศราคาขายส่งบุหรี่หน้าโรงงานผลิตใหม่ทั้งหมด
หลังกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้  โรงงานจึงต้องนำส่งเงินให้กองทุนปีละ  1,100 ล้านบาท โดยการปรับราคาขายส่งใหม่ครั้งนี้  ทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นซองละ  1-2  บาท โดยบุหรี่ยี่ห้อดังเพิ่มขึ้น  2 บาท  ส่วนบางยี่ห้อ
ที่ออกใหม่เพื่อแข่งขันกับบุหรี่จากต่างประเทศ และเริ่มได้รับความนิยมมักจะไม่ปรับเพิ่มราคา

          ทั้งนี้  ในช่วง 1-2 วันนี้ ผู้จำหน่ายอาจยังไม่ปรับขึ้นราคา  เพราะเป็นสต็อกสินค้าที่เสียภาษีในอัตราเดิม แต่ร้านค้าปลีกบางรายอาจฉวยปรับราคาทันที เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นบุหรี่สต็อกเก่าหรือใหม่  
อีกด้านหนึ่งมองว่า ราคาบุหรี่ที่แพงขึ้นอาจส่งผลให้มีจำนวนผู้สูบลดน้อยลงหรือหันไปสูบบุหรี่ที่ถูกกว่าแทน ทำให้รายได้และกำไรของโรงงานอาจลดลงตามไปด้วย"

         การปรับขึ้นภาษีสุรา เบียร์และยาสูบอีก 2% จากฐานภาษีเดิมนั้น จะทำให้ราคาของสินค้าดังกล่าวขยับขึ้นตามไปด้วยแต่ไม่มากนัก เช่น บุหรี่ไทยขึ้นราคา 1-3 บาทต่อซอง ส่วนเบียร์ปรับเพิ่มขึ้นกระป๋องละ
ไม่ถึง 1 บาท ซึ่งแล้วแต่ยี่ห้อ เช่น เบียร์ไทยปรับขึ้นที่  0.47 บาท เบียร์นอกปรับขึ้น  0.60 บาท สุราขาว
ราคาจะเพิ่มขึ้นอีก 0.79 บาท สุราสีของไทยจะปรับขึ้นขวดละ  2.20 - 3.26 บาท  ส่วนสุราต่างประเทศยี่ห้อดังจะปรับขึ้นถึงขวดละ  5.23 บาท และ 8.49  บาท

          ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตได้สอบถามถึงราคาขายปลีกพบว่า วันนี้ (27 มี.ค.) ผู้ประกอบการยังไม่ปรับราคาขายปลีกขึ้น โดยสุรายังขายอยู่ที่ขวดละ 99 บาท และเบียร์ยังคงขายในราคาเดิม มีเพียงสุราต่างประเทศที่ปรับขึ้นขวดละ 10 บาท และ 20 บาท  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีสต็อกสินค้าเดิมเหลืออยู่ และประมาณว่าอีก
 1 สัปดาห์จะเป็นสินค้าราคาใหม่ 



ที่มา : http://www.tnamcot.com/2015/03/27/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82-2/